เรื่องราวการเอาชีวิตรอดที่เหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์ แต่กลับเป็นเรื่องจริงของวัยรุ่น 6 คนที่เรืออับปางและติดอยู่บนเกาะร้างนานกว่าหนึ่งปี ก่อนที่จะหลบหนีจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี้มาได้อย่างปาฏิหาริย์
ในเดือนมิถุนายน ปี 1965 วัยรุ่นชาย 6 คน อายุระหว่าง 13 ถึง 19 ปี ได้หนีออกจากโรงเรียนประจำบนเกาะตองกาในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ และขโมยเรือล่าวาฬเพื่อเดินทางไปยังฟิจิซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 500 ไมล์ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อพายุโหมกระหน่ำจนเชือกสมอเรือขาด ทำให้เรือของพวกเขาต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในทะเลนานถึง 8 วัน ก่อนที่เรือจะถูกคลื่นซัดไปติดที่เกาะอะตา ซึ่งเป็นเกาะภูเขาไฟที่ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย
มาโน หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่น เล่าถึงวินาทีที่พวกเขาขึ้นฝั่งว่า “ผมกระโดดลงจากเรือและว่ายฝ่าคลื่นเข้าไป เมื่อถึงฝั่ง ผมเห็นทั้งเกาะหมุนไปมา แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เกาะ แต่เป็นผมเองที่รู้สึกแบบนั้น หลังจากไม่ได้กินอาหารและน้ำมา 8 วัน” แต่เมื่อตั้งสติได้ เขาก็รีบตะโกนบอกเพื่อน ๆ ว่า “เฮ้! ผมอยู่ตรงนี้!”
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่มาโนบอกว่าทุกคน “รู้สึกมีชีวิตชีวา” เพราะการได้เหยียบแผ่นดินทำให้พวกเขามีความหวังมากกว่าตอนที่ลอยอยู่กลางทะเล พวกเขารอดชีวิตด้วยการตกปลา และบุกรังนกทะเลเพื่อดื่มเลือดและกินไข่ดิบ แต่กว่าจะทำได้ก็ต้องลองผิดลองถูกอยู่นานถึง 3 เดือนกว่าจะจุดไฟและเชี่ยวชาญเทคนิคการหาอาหารได้
หลังจากฟื้นฟูร่างกายได้แล้ว พวกเขาก็สามารถปีนขึ้นไปบนที่ราบสูงของเกาะ ซึ่งที่นั่นพวกเขาได้พบกับหม้อดินเก่า ๆ มีดพร้า และไก่บางส่วนที่ถูกทิ้งไว้โดยชุมชนชาวตองกาที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนที่จะถูกลักพาตัวไปเป็นทาส
แต่แทนที่จะใช้ชีวิตเหมือนในนิยายเรื่อง “Lord of the Flies” ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและแตกแยก วัยรุ่นกลุ่มนี้กลับร่วมมือกันอย่างน่าทึ่ง พวกเขาสร้างกระท่อมจากใบมะพร้าว, สร้างพื้นที่ออกกำลังกายเล็ก ๆ และยังทำเครื่องดนตรีแกะสลักเพื่อคลายความเหงา รวมถึงสร้างจุดสังเกตการณ์ไว้คอยมองหาเรือที่ผ่านไป
มาโนเล่าว่า “เราเริ่มจัดระเบียบทุกอย่างเป็นตาราง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลกองไฟ, การสวดมนต์ และการดูแลต้นกล้วย ทุกคนทำงานร่วมกันเหมือนกับว่าเราจะต้องอยู่บนเกาะนี้ไปอีกนาน”
หลังจากติดอยู่บนเกาะนานถึง 15 เดือน พวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างปาฏิหาริย์จาก ปีเตอร์ วอร์เนอร์ นักผจญภัยชาวออสเตรเลีย ซึ่งต่อมาเรื่องราวการร่วมมือและเอาชีวิตรอดของพวกเขาก็ถูกเล่าใหม่โดยนักประวัติศาสตร์ชาวดัตช์ชื่อ รัทเกอร์ เบรกแมน ซึ่งได้เขียนหนังสือเปรียบเทียบเรื่องจริงนี้กับนิยาย “Lord of the Flies” โดยให้ข้อสรุปว่า
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักจะร่วมมือกันมากกว่าที่จะเห็นแก่ตัว
เนื้อหาที่น่าสนใจ
ไวรัล! หนุ่มสุดติสต์ อาบแดดลาย “หลุยส์ วิตตอง” ตั้งชื่อ “Louis Vuitton skin pattern tutorial”
เห็นลุคก็ฮาแล้ว! พิธีกรฝีปากกล้า “หนุ่ม กรรชัย” กับบทบาทใหม่ที่รอคอย
รักแท้ไม่จำกัดวัย! หนุ่มญี่ปุ่นแอบชอบแม่เพื่อนตั้งแต่วัยเด็ก โตขึ้นสานต่อจนได้แต่งงานกัน
สุดสลด! ภรรยาหนักร้อยโลสะดุดล้มทับสามีจนเสียชีวิต
สุดช็อก! กระรอกแคลิฟอร์เนียเปลี่ยนเมนู! ล่าหนูกินเป็นอาหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์!
บุกทลาย ‘ซุปเปอร์มาร์เก็ตศูนย์เหรียญ’ ย่านเยาวราช